เทศน์บนศาลา

พุทธบริษัท

๙ มี.ค. ๒๕๔๘

 

พุทธบริษัท
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมนะ ฟังธรรม เครื่องกล่อมใจ ถ้าเราไม่ได้ฟังธรรม การฟังธรรมนี้เป็นเรื่องที่แสนยาก ในพระไตรปิฎกบอก การฟังธรรมนี้เป็นเรื่องแสนยากเพราะเจ้าชายสิทธัตถะออกประพฤติปฏิบัติ ๖ ปีไง แสวงหา แสวงหาเพื่อจะฟังธรรม เพื่อจะเป็นผู้ที่ชี้ทาง แต่ธรรมะยังไม่เกิดเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ธรรม

เจ้าชายสิทธัตถะนะ ท่านเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อเมื่อท่านปฏิบัติธรรม จนอาสวักขยญาณชำระกิเลสออก ตัวเจ้าชายสิทธัตถะนั้นเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะออกแสวงหาอยู่นี่ แสวงหา ไปหาครูหาอาจารย์ต่างๆ เพื่อจะฟังธรรมไง เพื่อจะฟังธรรม เพื่อจะฟังคำชี้แจง ชี้เข้ามาในหัวใจว่า การเกิดและการตาย

ขณะที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะมีความสุขในราชวังมาก ความสุขนะ ทางโลกเขาปรนเปรอกันขนาดไหน มีนางฟ้อนรำ ขนาดที่ว่าจะเสวยอาหารก็มีทุกอย่างพร้อมหมด อยู่ในราชวัง ๓ ฤดูนะ แต่ขณะที่ว่าเข้าไปเที่ยวในสวน ไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บคนตาย มันสะกิดใจมาก สะกิดใจจนออกค้นคว้านะ หาสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เกิดจากที่ไหนล่ะ? เพราะสิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะออกแสวงหา เจ้าชายสิทธัตถะก็ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอยู่ที่ไหนไง

ไปค้นคว้ากับเจ้าลัทธิต่างๆ นี่ฟังธรรม ไปหาครูหาอาจารย์ หาสิ่งที่ศึกษาเล่าเรียนจากการประพฤติปฏิบัติ ในสมัยพุทธกาลนั้นการประพฤติปฏิบัติ เพราะทุกคนก็แสวงหา เพราะมันเป็นสิ่งที่สมดุล สมควรมากเพราะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้นี้ พื้นเพ พื้นถิ่นนั้นจะต้องเป็นสมบูรณ์แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่มีบุญจะมาเกิดไงแล้วผู้ที่แสวงหาอยู่ก็มี เช่น กาฬเทวิลต่างๆ อาฬารดาบส เขาก็แสวงหาของเขา เจ้าชายสิทธัตถะก็ต้องไปเรียนกับเขา ไปเรียนกับเขาเพราะเรื่องของความเข้าใจว่าจะต้องมีครูมีอาจารย์ผู้ชี้นำไง นี่ไปฟังธรรม แต่ธรรมอันนั้นเป็นธรรมของโลกไง ธรรมโลกียะ ทั้งๆ ที่ศาสดา ผู้ที่อาจารย์นั้นก็ปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดานะ

คำว่า “อรหันต์” อรหันต์คือความสิ้นทุกข์ไง นี่เขาแสวงหาอยู่ แต่เจ้าชายสิทธัตถะยังอยู่ในราชวัง ยังมีความสุขอยู่ในกามคุณ ๕ สิ่งที่กามคุณ ๕ เพราะเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระโพธิสัตว์ สิ่งที่พระโพธิสัตว์ มีการครองเรือน มีการจะได้ครองราชย์สมบัติ สิ่งนี้มีความสุขอยู่

แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ค้นคว้าที่ว่าเขาเป็นอรหันต์ อรหันต์กันอยู่ในป่า เขาก็ค้นคว้าอยู่ของเขา สิ่งที่ค้นคว้าของเขา เขาว่าของเขาเป็นของเขา นี่เจ้าชายสิทธัตถะไปฟังธรรมกับเขาไง ไปศึกษากับเขา แต่ฟังธรรมอันนั้นเป็นโลกียธรรม ทั้งๆ ที่ว่าเขาปฏิญาณว่าเป็นพระอรหันต์นะ เขาปฏิญาณว่าเขาสิ้นกิเลส เขาจะสั่งสอนได้ แต่เขาก็สั่งสอนในประสาความเห็นความรู้ของเขาไง

นี่การฟังธรรมนี้แสนยาก แสนยากเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้แต่ละองค์นี้เป็นเรื่องที่แสนยาก เพราะคนที่จะสร้างบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์นี้เป็นสิ่งที่สร้างสมมาโดย ๔ อสงไขย แสนมหากัป ๑๒ อสงไขย ๖ อสงไขย ความสร้างสิ่งนี้มา เพราะสิ่งนี้สร้างมา ถึงมีบุญญาธิการไง ถึงจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง สิ่งนี้เกิดดับๆ นะ วันคืนล่วงไปๆ เกิดดับๆ วันคืนล่วงไป ๒๔ ชั่วโมงล่วงไป

นี้ก็เหมือนกัน ธรรมแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่มาตรัสรู้ไว้ ๘๐,๐๐๐ ปี ๖๐,๐๐๐ ปี สิ่งนี้ก็เกิดดับไป เรื่องของโลกเป็นเรื่องอนิจจังทั้งหมด การจะฟังธรรมก็เป็นกาลเป็นเวลา เป็นกาลเป็นเวลาต่อเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เราถึงจะได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมที่ว่าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง

แต่ถ้าเราไปฟังเรื่องของโลกเขา เขาว่าเป็นธรรม เป็นวิชาการของเขา เขาว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม แต่เพราะเขามีกิเลสเต็มหัวใจ เขาถึงแสดงธรรมมา เจ้าชายสิทธัตถะไปฟังมากับเขาแล้วก็ไม่ปฏิเสธสิ่งนั้น นี่โอกาสที่จะฟังธรรมยังไม่เกิด ถ้าเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา วิธีการแสวงหา การค้นคว้าหาธรรมนี้ ๖ ปี นี้ ทำบุกบั่นอยู่อย่างมหาศาล

เหมือนกับคนเขาทำไร่ทำนา สิ่งที่เขาทำไร่ทำนาเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นการดำรงชีวิต คนเราเกิดมาต้องมีอาหาร สิ่งที่เป็นอาหารขึ้นมา สิ่งที่ถนอมอาหาร เราจะหาอาหารของเราขึ้นมาได้อย่างไร เราต้องเอาสิ่งนี้มา เป็นการส่งมาตั้งแต่อดีต เป็นการกระทำกัน เป็นการค้นคว้ามา เป็นการสะสมมาของสังคม สังคมนั้นถึงว่าก้าวพัฒนามาเรื่อยๆ จนในปัจจุบันนี้ เมล็ดพันธุ์ข้าวเขาก็ต้องพัฒนาของเขา เพื่อจะให้พันธุ์พืชมันเจริญงอกงาม ให้พันธุ์ข้าวได้สมกับประชากรที่จะต้องกินข้าวนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เจ้าชายสิทธัตถะค้นคว้า สิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อยู่ที่ไหน ทำจิตสงบขนาดไหน เข้าฌานสมาบัติ แบบที่อาฬารดาบสสอนอยู่ ก็ยังค้นคว้าหาไม่เจอไง สิ่งที่หาไม่เจอ ธรรมไม่เกิด ธรรมไม่เกิดมันจะชำระความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายได้จากไหน สิ่งที่ค้นคว้าไม่เจอ นี้คือการกระทำไง

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าและกระทำอยู่ ไปศึกษา ไปฟังธรรม สิ่งนั้นก็เป็นธรรมโดยโลกียะ สิ่งที่ไม่สามารถชำระออกไปคือเมล็ดพันธุ์พืชนั้น ให้หัวใจนั้นกิน มันไม่สมกันกับการแก้ไขเชื้อโรคนั้นได้ ไม่สามารถชำระสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เพราะมีบุญญาธิการนะ

ถ้าไม่มีบุญญาธิการ ทำไมอาฬารดาบส ทำไมครูบาอาจารย์สมัยนั้น ทำไมเขามีลูกศิษย์ลูกหามหาศาลล่ะ ทำไมคนเขาเชื่อฟังกัน เขาฟังธรรมกัน เขาเป็นลูกศิษย์ลูกหา ในลัทธิศาสนาต่างๆ ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นเจ้าชาย จะออกประพฤติปฏิบัติ สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว ในลัทธิต่างๆ เขาก็มีของเขาอยู่ แล้วคนก็ศึกษา คนก็ฟังกัน คนก็เชื่อกัน กระทำกันอยู่ แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะมีบุญญาธิการ บุญญาธิการในหัวใจที่สร้างมา สิ่งที่สะสมมาที่ว่า ๔ อสงไขย แสนมหากัปนี้ มันเป็นสิ่งที่จะพร้อมที่จะชำแรกออกมาจากกิเลส

ถึงว่า สิ่งที่ทำสงบขนาดไหน สิ่งที่เขาใช้ปัญญา เขาค้นคว้ากัน เป็นอัตตกิลมถานุโยค สิ่งที่เขากระทำกัน นั้นก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค สิ่งนี้มันไม่เข้ามัชฌิมาปฏิปทา สิ่งที่เป็นมัชฌิมา ทางสายกลางเกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้เพราะคนมันมีความคิดของเขาอย่างนั้น คนมีความคิดตกขอบไปสุดทางหนึ่ง ทั้งซ้ายและขวา สิ่งที่ตกขอบไปทางขวาก็ตกไปทางอุกฤษฏ์ต่างๆ สิ่งที่ตกขอบไปทางซ้าย เสวยแต่ความสุข กามคุณ ๕ นี้เสพเข้าไปเถิด ห้าร้อยชาติแล้วจะสิ้นจากกิเลส นี่ส่งเสริมกัน ก็มีลูกศิษย์ลูกหา ก็มีคนเชื่อมหาศาลเลย

แต่เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษา ไปค้นคว้า ต้องทดสอบไง ทดสอบว่าทางออกจากโลกนี้มีไหม ทดสอบว่าเมล็ดพันธุ์พืช ข้าวของเขามีไหม ธรรมของเขามีไหม ในเมื่อธรรมของเขาไม่มี แล้วฟังไป ฟังอะไร สิ่งที่ฟังไปก็ฟัง เห็นไหม เราต้องการอาหาร ต้องการข้าวมาเพื่อมาจรรโลงชีวิต สิ่งที่จรรโลงชีวิต แต่ในสมัยนั้น ถ้าเกิดเขาไม่มีข้าว เขาก็กินอาหารอย่างอื่นของเขาไป นี้คือร่างกายต้องการอาหารนะ

แต่ในเมื่อหัวใจต้องการธรรม สิ่งที่ธรรมไม่มี นี่ฟังธรรมจากไหน ฟังธรรมจากเขาก็ฟังแล้วก็เวียนตายเวียนเกิดในโลกนี้ ไม่สามารถชำระกิเลสอันนี้ได้ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมาค้นคว้า นึกย้อนกลับไปที่โคนต้นหว้าไง สิ่งที่เราทำอานาปานสติ สิ่งนั้น สิ่งที่โคนต้นหว้าเราทำ เรากำหนดลมหายใจแล้ว จิตสงบขนาดไหน เห็นไหม หาพื้นที่ทำนาไง

ถ้าหาพื้นที่ทำนา กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก อานาปานสติ กำหนดจิตสงบเข้ามา หาพื้นที่ทำนา หาพื้นที่ว่าสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันเกิดจากตรงนี้ไง เกิดจากจิตปฏิสนธิ เกิดจากหัวใจที่ไปเกิดต่างหาก หัวใจที่ไปเกิดในโอปปาติกะ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ สิ่งที่...ถ้ามีการเกิด มันต้องมีการตายแน่นอน สิ่งที่เกิดมาแล้ว สิ่งนี้คือได้ผลของการเกิด แล้วมันก็มีอำนาจวาสนา เป็นพระโพธิสัตว์สร้างสมขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วถึงจะต้องค้นคว้าไง

ถ้าค้นคว้า การค้นคว้าการกระทำอันนี้ มรรคญาณเกิด อริยสัจเกิดตรงนี้ ถ้าอริยสัจเกิดตรงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตมันจะมีความมหัศจรรย์ขนาดไหน ขนาดที่ว่านั่งอยู่โคนต้นโพธิ์นะ “คืนนี้เรานั่งโคนต้นโพธิ์ ถ้าไม่ตรัสรู้ ถ้าไม่ได้บรรลุธรรม จะยอมนั่งจนตาย”

นั่งจนตาย เพราะสิ่งที่ไปค้นคว้ามากับเขา มันเป็นการพิสูจน์แล้วว่าสิ่งนั้นมันเป็นทางที่ออกไม่ได้ไง ในเมื่อทางออกไม่ได้เพราะสิ่งที่เป็นลัทธิต่างๆ นั้น ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนอยู่นั้น ปัญญาของเขามีเท่านั้นไง เราก็ค้นคว้าจนจบสิ้นกระบวนการทั้งหมดแล้ว มันไม่มีทางออกอยู่แล้ว ถึงต้องคิดถึงตัวเอง คิดถึงตัวเอง คิดถึงโคนต้นหว้า แล้วตั้งสัจจะว่า คืนนี้นั่ง ถ้าไม่สำเร็จ จะไม่ลุกจากโคนต้นโพธิ์เลย

เริ่มต้นตั้งแต่อานาปานสติ ปฐมยาม จิตนี้มีความสงบ นี่พื้นที่ทำงานไง พื้นที่ทำงาน ถ้าเราเข้าถึงพื้นที่นั้น เราเห็นพื้นที่นั้น แต่ถ้าทำงานไม่เป็น เรามีพื้นที่ เรามีสิ่งต่างๆ เรามีที่ดิน แต่เราหาสิ่งปลูกสร้าง เราทำโครงการของเราขึ้นไม่ได้ ที่ดินนั้นก็เป็นที่ดินเฉยๆ เราจะเป็นเศรษฐีที่ดินขนาดไหน ที่ดินเรามีมากขนาดไหน แต่เราสร้างผลงานของเราไม่ได้ เราก็เป็นคนทุกข์คนยาก คนทุกข์คนยากเพราะที่ดินมันให้ประโยชน์อะไรกับเราไม่ได้ไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบเข้าไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ ขณะจิตกำหนดอานาปานสติ ขณะที่โคนต้นหว้า เป็นเด็กขนาดนั่ง เจ้าชายสิทธัตถะนั่งตอนเป็นเด็กนะ พระเจ้าสุทโธทนะออกไปทำแรกนาขวัญ นั่งอยู่โคนต้นหว้า ความฝังใจของเด็ก เด็กที่มันฝังใจว่าขณะเรากำหนดลม มีความสุขขนาดไหน นี่บุญญาธิการมี อำนาจวาสนามีอย่างนั้น ถึงคิดถึงโคนต้นหว้านั้น แล้วเอาโคนต้นหว้านั้นมาเริ่มต้นจากอานาปานสตินี้

พออานาปานสตินี้ จิตมันสงบเข้ามา ตั้งแต่ที่โคนต้นโพธิ์นั้น ออกจิตออกรับรู้ ออกรับรู้เพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะกำลังทรมานตนอยู่ เจ้าชายสิทธัตถะกำลังทรมานกิเลส กำลังพยายามเอาตนพ้นจากกิเลสนั้น การปฏิบัตินั้น นี่ธรรมและวินัยยังไม่เกิด ข้าวที่จะเอามาเลี้ยงชีวิตนี้ยังไม่มี

ขณะที่จิตสงบเข้าไป มันยัง...คือว่าเจ้าชายสิทธัตถะยังมีกิเลสอยู่ สิ่งที่มีกิเลสอยู่คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อวิชชาในหัวใจนั้น จนจิตสงบเข้ามา นี่มันตะล่อมเข้ามาถึงจิตที่สงบนั้น จิตนี้มันออกรับรู้ไง พลังงานเกิดขึ้น เห็นที่ดินเกิดขึ้น เห็นจิตไง จิตนี้ตั้งเป็นเอกัคคตารมณ์ อานาปานสติจนจิตสงบเข้าไป พอสงบเข้าไปถึงฐานของจิต จิตมันออกรับรู้ ออกรับรู้ต่างๆ เป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ เห็นความเป็นไปของจิตไง

เครื่องคอมพิวเตอร์ สิ่งที่คอมพิวเตอร์มันจะทำงานได้มันต้องมีโปรแกรมของมัน สิ่งที่เรามีโปรแกรมของมัน เราสร้าง เราเขียนโปรแกรมของมัน สิ่งนั้นจะออกเป็นคอมพิวเตอร์นั้นจะใช้งาน นี่ก็เหมือนกัน พอเมื่อจิตมันสงบเข้าไปถึงข้อมูลเดิมของจิตไง ข้อมูลเดิมของจิต ของพระโพธิสัตว์ ข้อมูลเดิมของจิต จิตที่สร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพุทธวิสัย ย้อนไปอดีตชาติ ตั้งแต่พระเวสสันดร ตั้งแต่ ๑๐ ชาติ ทศชาติ ย้อนกลับไป กลับไป ย้อนกลับไปตลอด

ถ้าเราไม่มีบุญญาธิการนะ เวลาจิตมันสงบเข้าไปแล้วมันย้อนไปอดีตชาติ มันจะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากว่าเรานี่รู้สิ่งต่างๆ มหัศจรรย์มหาศาลเลย ว่าเราจะเป็นผู้วิเศษ เราจะเป็นผู้ที่มีคุณธรรม...มันไม่ใช่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับไป ถึงที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย ถึงดึงจิตกลับมาไง ดึงจิตกลับมาเพราะว่าสร้างสมมาจนถึงที่สุด จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืนนี้อยู่แล้ว ถึงย้อนกลับมาว่ากาลเวลามันพิสูจน์กันว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตสงบขนาดไหนก็ออกไป ย้อนกลับมาอานาปานสติให้จิตสงบ กลับมา ดึงจิตกลับมา ไม่ส่งไปอดีต

พอจิตสงบกลับเข้ามาแล้ว พอพลังงานมันเกิดขึ้น มัชฌิมยาม ออกรู้ต่างๆ จุตูปปาตญาณ จิต พลังงานของจิตมี พลังงานจิตมี มองออกไป จากอดีตมาก็ไม่ใช่ นี่การค้นคว้านะ นี่การทำนา การค้นคว้าวิชาการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามา จิตสงบขนาดไหน ย้อนกลับไปหากิเลสไง ย้อนกลับไปหาสิ่งที่ว่าเป็นวิชาการ เป็นอริยสัจในหัวใจ ส่งออกไป

จิตส่งไปอดีต นี่อัตตกิลมถานุโยค ออกไปจุตูปปาตญาณ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ทางสองส่วน อดีต-อนาคต อดีตก็เป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณที่จิตมันมีพลังงานแล้วมันย้อนกลับไปเพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เกิด ยังไม่มีความรู้จริง การกระทำอยู่นี้คือการทดสอบ คือการค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ย้อนไปอดีต...ไม่ใช่

มองไปอนาคต คือจิตตายมันเกิด เพราะมันไม่มีอริยสัจ อาสวักขยญาณยังไม่เกิด มรรคมันไม่มี มรรคไม่มี พอจิตมีพลังงานของจิต จิตมันสร้างสมขึ้นมา อานาปานสติกำหนดจนจิตมีพลังงาน มัชฌิมยาม ออกส่งไปอนาคต ย้อนไปอดีต เพราะในปัจจุบันยังไม่เกิด มัชฌิมาไม่มี ไม่มีก็ย้อนไปอดีตก่อน อดีตก็ไม่ใช่ สาวถึงที่สุด ไม่มีต้นไม่มีปลาย ถ้าสาวไปอีกขนาดไหนก็สาวไปได้ ถึงย้อนกลับมา ดูการจิตเกิดไปอนาคต

จิตทุกดวงจิตมีพลังงาน ทุกดวงจิตมีอวิชชา ทุกดวงจิตมีการสะสม ถ้าการสะสมของจิตมันมีอยู่นี้ พลังงานตัวนี้มีอยู่ มันต้องพาเกิดแน่นอน เกิดในสถานะไหน ถ้าคนทำอกุศลอยู่ เกิดในสถานะของสัตว์เดรัจฉาน เกิดในสถานะต่างๆ ถ้าจิตมีบุญกุศล จะเกิดในสถานะของเทวดา ของอินทร์ ของพรหม มันก็จะพาเกิดสภาวะ นี่จุตูปปาตญาณ เห็นการเกิด เห็นอดีต เห็นอนาคต สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เครื่องล่อ

ถ้ามีสิ่งเครื่องล่อ รู้ไปหมดอย่างนี้มันก็แก้กิเลสไม่ได้ เพราะการรู้นี้รู้อาการของจิต คือรู้จากข้อมูล ไม่รู้จักเชื้อไข ข้อมูลเกิดจากใจ ข้อมูลนี่เกิดจากใจ เกิดจากการสะสมมาที่ใจ ถ้าเป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณก็ย้อนไป สิ่งที่มันเคยเสวยมา เคยเป็นสถานะ เคยเกิดเป็นสถานะแล้วฝังลงที่ใจ เพราะความรับรู้แต่ละชาติมันฝังลงที่ใจ

จุตูปปาตญาณย้อนไป เพราะพลังงาน สิ่งที่การกระทำ กรรมดีกรรมชั่วไง สิ่งที่การกระทำมันมีพลังงาน เพราะสิ่งการกระทำนี้มันมีเหตุ มีเจตนา มีเหตุ มีปัจจัย มีเหตุ มีปัจจัยก็ต้องขับเคลื่อนจิตนี้ให้เกิดตามสภาวะของจิตพลังงานอันนี้ไป คืออนาคตไง อนาคตคือจิตนี้มันเสวยภพชาติของมันไป

ถึงย้อนกลับมาอาสวักขยญาณ ย้อนกลับมาเป็นปัจจุบัน สิ่งที่เป็นอดีตอนาคตนี้เป็นอาการของใจ อาการของใจ ใจไปรับรู้สิ่งต่างๆ นี้มันเป็นไป มันส่งออกไปทั้งหมด ถึงย้อนกลับมา พอย้อนกลับมา ย้อนกลับมาตัวจิต ย้อนกลับมาในปัจจุบัน พอจิตปัจจุบัน ถึงกาลสุดท้าย ถึงยามสุดท้าย พอจิตล่วงเข้าถึงฐานของมัน จากทำลายฐาน จากถึงตัวจิตแล้วทำลายฐานข้อมูลของตัวเองทั้งหมด

ถ้าพลังงานตัวนี้มันส่งออกไป พลังงานจากการสะสม คือการสะสมมาเป็นพระโพธิสัตว์นี้ จะย้อนกลับอดีตมหาศาล พลังงานของบุญกุศลอันนี้ที่สะสมมา ถ้าไปจุตูปปาตญาณ มันยังขับเคลื่อนไป อดีตอนาคตยังขับเคลื่อนตัวนี้ไป ถึงว่าเป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันที่จิตนี้ย้อนกลับมาทำลายกิเลสตัวนี้ ทำลายกิเลสตัวนี้ด้วยอาสวักขยญาณ สิ่งที่อาสวักขยญาณ นี่ธรรมเกิดตรงนี้ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ฆ่าพญามารทั้งหมด เรือนยอดของนางตัณหา นางอรดี ถึงตัวอวิชชา เรือนยอด เรือน ๓ หลัง เรือนยอดนั้นได้ทำลาย หักเรือนยอดนั้นลง พอหักเรือนยอดนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข ความเสวยวิมุตติสุขคือการกระทำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากใจดวงนั้นไง

จากใจดวงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใจดวงนี้จะพาเกิด พาแก่ พาเจ็บ พาตาย มาตลอด สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นตั้งแต่ยมทูตในสวนว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย “เราก็มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเหมือนกันหรือ”

ถ้าเรามีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะเราจะต้องมาเกิดใหม่เป็นเด็กแบเบาะที่มานอนอยู่นี่ แล้วเราต้องชราคร่ำคร่า ร่างกายต้องชราคร่ำคร่าไป ต้องเจ็บ ต้องแก่ แล้วก็ต้องตาย แล้วก็ต้องมาเกิดอีก เห็นไหม นี่สิ่งนี้สะเทือนใจ

แต่ขณะที่อาสวักขยญาณทำลายกิเลส เสวยวิมุตติสุขนี้ ตัวนี้ต่างหาก ตัวจิตปฏิสนธิตัวนี้พาเกิด พาแก่ พาเจ็บ พาตาย แล้วเราใช้อาสวักขยญาณทำลายตัวเกิด ตัวแก่ ตัวเจ็บ ตัวตาย จนเป็นวิมุตติสุข ทั้งๆ ที่มันก็มีอยู่

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วพาจิตดวงนี้เผยแผ่ธรรมไง เผยแผ่ธรรม ตั้งพุทธบริษัท บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่บริษัทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ วางธรรมไว้ แล้วออกไปสอนปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์ก็ทำนาเป็น ปัญจวัคคีย์ก็พร้อมแล้ว เพราะทำความสงบของใจขึ้นมา อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี ขณะที่อุปัฏฐากอยู่ คนที่ประพฤติปฏิบัติอยู่มันต้องควบคุมจิต จิตนี้สงบขึ้นมา มันมีพื้นที่ทำงาน มันมีที่นา พอมีที่นา มีที่นา แต่เป็นสาวกะ-สาวก ไม่ได้สร้างบุญญาธิการมา

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้นถึงจะตรัสรู้ธรรม ธรรมนี้มันละเอียดลึกซึ้งมหาศาลเลย นี่ขนาดปัญจวัคคีย์นะ ปฏิบัติมากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีเหมือนกัน พระอัญญาโกณฑัญญะ ตั้งแต่พยากรณ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็รอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัตินะ รอตั้งแต่หนุ่มจนแก่นะแล้วออกอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๖ ปี นี่สิ่งนี้มันมีพื้นฐาน มันมีสิ่งที่ว่าจิตสงบอยู่แล้ว

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรม “พุทธบริษัท” มีวิชาการ มีสิ่งที่เป็นคุณธรรม มีอาหาร มีข้าวปลาอาหารไว้ให้กับพวกเราได้ดื่มกินไง ถ้ามีข้าวปลาอาหารไว้ให้กับพวกเราได้ดื่มกิน ปัญจวัคคีย์หิวกระหาย แต่หิวกระหายในร่างกายนะ ถ้าเราขาดอาหารเราต้องตาย แต่ขณะที่ว่าหัวใจมันหิวกระหายในธรรมไง มันอยากจะพ้นจากทุกข์ แต่มันไม่มียา ไม่มีอาหารให้เข้าไปทำลายกิเลสอันนี้ ก็ต้องรอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ

แต่กิเลสในหัวใจเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรมานตนอยู่ ๖ ปี แล้วอุปัฏฐากกันมาตลอด เวลาย้อนกลับมาฉันอาหาร กิเลสในหัวใจเห็นว่าผู้ที่มักมาก ผู้ที่เคยทำทุกรกิริยาขนาดนั้น แล้วย้อนกลับมามันจะบรรลุธรรมได้อย่างไร นี่โลกมองกันอย่างนี้นะ โลกต้องอุกฤษฏ์ก็ต้องอุกฤษฏ์ไปเลย ถ้าอ่อนแอก็อ่อนแอไปเลย

มัชฌิมาปฏิปทาในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธบริษัทนี่สำคัญมาก เพราะมันเป็นมัชฌิมาปฏิปทาในหัวใจ ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทาโดยกิเลสไง ถ้าโดยกิเลส มันมีการคาด การหมาย การขี้เกียจ การค้นคว้า คนเรามันมีนิสัยต่างๆ กัน ก็มัชฌิมาปฏิปทาของกิเลส มันก็จะเอาแต่ความสะดวก เอาแต่ความสบาย เอาแต่ความพอใจของมัน แล้วมันจะไม่สมความปรารถนาเลย

เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากข่มขี่หัวใจอันนี้แล้วก็ตีความขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วแต่กิเลสมันตีความไป ปัญจวัคคีย์ก็เป็นแบบนั้น เห็นเจ้าชายสิทธัตถะจะมาเทศนาว่าการ เพราะระลึกถึงบุญถึงคุณที่เคยอยู่กันมา นี่กิเลสต่อต้านนะ

จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สุภาพบุรุษมาก “เธอเคยได้ยินไหมว่าเราเป็นพระอรหันต์ เพราะไม่เป็นก็ว่าไม่เป็น” อยู่กันมา ๖ ปี ไม่เคยพูดถึงธรรม เพราะกำลังค้นคว้าด้วยกัน ปัญจวัคคีย์ผู้ที่อุปัฏฐาก ทั้งกับเจ้าชายสิทธัตถะค้นคว้าด้วยกัน สิ่งต่างๆ พยายามรื้อค้น พยายามทำนา จะหาวิชาการมา จนปัญจวัคคีย์ทิ้งไปนะ เจ้าชายสิทธัตถะทำของเจ้าชายสิทธัตถะเอง จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เสวยวิมุตติสุขมาก จะสอนอาฬารดาบส คิดถึงคุณของอาจารย์ เคยอยู่กับอาจารย์ อาจารย์เคยสั่งสอนมา ทั้งๆ ที่สอนผิดก็แล้วแต่ เพราะบุญญาธิการท่านมีขนาดนั้น ท่านมีขนาดว่าเป็นสมาบัติ ท่านก็สอนด้วยสมาบัติ ก็เคยร่มเย็นเป็นสุขกับในสมาบัติ แต่ก็ไม่ติด เห็นไหม จะไปสอนอาฬารดาบสก็ตายเสียแล้ว นึกถึงคุณของปัญจวัคคีย์ที่เคยอุปัฏฐากกันมา ไปสอนปัญจวัคคีย์ก่อน

พอสอนปัญจวัคคีย์ สิ่งที่อาสวักขยญาณ อริยสัจเกิด ในเมื่อสิ่งที่เป็นธรรมเกิด พุทธบริษัทเกิด เกิดนี้เกิดจากธรรมอันนี้ไง ธรรมที่ทำให้ร่มเย็นเป็นสุขไง ธรรมที่ทำให้ต้องไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นี่เวลาเปิดออกมา แสดงธรรม จากใจดวงหนึ่ง จากใจดวงนี้ ใจของเจ้าชายสิทธัตถะ ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนไปสู่ใจของปัญจวัคคีย์ ยื่นจากใจดวงหนึ่ง จากใจไปถึงอีกใจดวงหนึ่ง

พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระโสดาบันขึ้นมา นี่สงฆ์เกิดขึ้น พุทธบริษัทเกิดขึ้นมา แล้วเทศนาว่าการอนัตตลักขณสูตร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ไปหา ไปเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรมเพราะมีวิชาการ เพราะมีธรรม เพราะมีอาหารให้กับหัวใจที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันได้ดื่มกิน นี่ยสะ จนถึงที่สุด สหายของยสะมาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ๖๐ องค์ ผู้ที่ ๖๐ องค์ เป็นผู้ที่ทำนา เป็นที่ค้นคว้า เป็นผู้ปลูกค้นคว้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาในหัวใจ ๖๐ องค์ เผยแผ่ธรรมมานะ พุทธบริษัทเผยแผ่ธรรม สาวก-สาสวกะได้ดื่มกินธรรม เราเป็นสาวก-สาวกะ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่มีความร่มเย็นเป็นสุขนะ ถ้ามีความร่มเย็นเป็นสุข จากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่การฟังธรรมไง

ถ้าเราได้ฟังธรรม จากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึงเป็นบริษัทต่างๆ ขึ้นมา บวชขึ้นมาในศาสนา เห็นไหม สาวก-สาวกะเข้ามาบวช จนเป็นปึกแผ่นมา แล้วก็ส่งต่อกันมา ส่งต่อกันมา ความเป็นไปของพุทธบริษัทนี้เป็นศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่เลอเลิศ เลอเลิศเพราะเป็นการชำระกิเลส เลอเลิศเพราะการชำระจิตดวงนี้ไม่ให้เกิด ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายอีกต่อไปนะแล้วเข้าถึงนิพพาน คือความสุข ความสุขโดยวิมุตติสุขที่สุขที่โลกนี้ไม่มี แต่เราไพล่ไปเอาอะไรกันในปัจจุบันนี้

ในปัจจุบันนี้ เวลาบวชเข้ามาในศาสนา เราก็เป็นสังฆะอยู่ในพุทธบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราก็เป็นพุทธบริษัท เห็นไหม เวลาบวชในศาสนา ผู้ที่บวชนี้เป็นศาสนา เป็นพุทธบริษัททั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งของพุทธบริษัท พอส่วนหนึ่งของพุทธบริษัท แล้วมาศึกษาธรรมไง ศึกษาธรรมในภาคปริยัติ เวลาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรม ศึกษาข้อวัตร ศึกษาจากบริษัท แล้วถ้าศึกษาเข้าใจในกติกาของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็ไปตั้งบริษัท ไปเป็นครู เป็นอาจารย์ สั่งสอนเขา สั่งสอน บริษัทนะ ผู้ที่ทำนาไม่เป็น ทำนาไม่เป็น เป็นผู้ที่ว่าพ่อค้าคนกลางไง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมาจนเป็นพระอรหันต์นะ จนประกาศตนเองต่อหน้าปัญจวัคคีย์ว่า “เธอเคยได้ยินไหมว่าเราเป็นพระอรหันต์ สิ่งที่เป็นพระอรหันต์นี้คือสิ่งนั้นเป็นความจริงทั้งหมดไง สิ่งที่แสดงออกมา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตาม ถึงเป็นความจริงทั้งหมด

ในปัจจุบันนี้เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีใครประพฤติปฏิบัติเป็นล่ะ นี่ในเมื่อศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำนาไม่เป็น ทำนาไม่เป็นเราก็ตั้งบริษัท พอเราตั้งบริษัท เราซื้อ ตั้งบริษัทเป็นพ่อค้าคนกลาง เพราะว่า... เพราะธรรมเป็นครูขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ทำนาขึ้นมา เป็นผู้ที่มีข้าวอยู่ในบริษัท บริษัทคือความร่มเย็นเป็นสุขในพระไตรปิฎก นี่สิ่งนี้มีวัตถุอยู่ แล้วเราไปศึกษา แล้วเราไปค้นคว้า เหมือนกับพ่อค้าคนกลางนะ เวลาชาวนาเขาขายพืชผลของเขาโกง โกงตั้งแต่ตาชั่ง โกงตั้งแต่ราคา โกงเขาทั้งหมดเลยเพราะอะไร เพราะตัวเองคิดว่าตัวเองจะได้เปรียบเขาไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาไปตั้งบริษัทขึ้นมา ศึกษาธรรมเป็นเจ้าคณะ เป็นครูเป็นอาจารย์ของเขา แล้วสั่งสอนเขา สั่งสอนออกไปจากอะไร สั่งสอนเพื่ออะไร? โกงนะ โกง โกงเพราะโกง ไม่เป็นตามความเป็นจริงไง เพราะตัวเองทำนาไม่เป็น ตัวเองไม่เห็นความเป็นไปของจิต ตัวเองไม่เคยเห็นสิ่งใดๆ เลย

แต่ตัวเองเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาข้าวในคลังขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธบริษัท เห็นไหม แล้วก็ตั้งบริษัทซ้อนขึ้นมา แล้วเอาสิ่งนี้มาแก้ไข มาเอาเป็นความเห็นของตัว เอาเป็นความเปรียบของตัว ตักตวงผลประโยชน์จากในศาสนาไง

เวลาเราบวช เวลาเราบวชกับอุปัชฌาย์อาจารย์ เพราะการบวชกับอุปัชฌาย์ นี่พุทธบริษัท เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ธรรมวินัย เห็นไหม อุปัชฌาย์ทุกองค์ เวลาพระบวชใหม่ต้องสอนกรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้มันทำนา ให้มันค้นคว้าของมัน ถ้ามันทำนาของมันเป็นนะ มันทำนาของมันได้นะ มันจะไม่โกงใครเพราะอะไร เพราะเป็นสมบัติของเรา เราค้นคว้าของเราเอง เราสร้างของเราขึ้นมาเอง เราเป็นเจ้าของบริษัท เรามีบุคลากรต่างๆ เราสามารถสร้างตั้งแต่การหาพื้นที่ การทำไร่ไถนา จนมีผล พืชผลออกมาอยู่ในบริษัทของเรา เราจะไปโกงใครล่ะ

แต่ถ้าเราทำนาไม่ได้ เราตั้งบริษัทของเราขึ้นมา นี่ปริยัติ ปริยัติตั้งแต่ตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมา เพราะศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่บริษัท พุทธบริษัทมีอยู่แล้ว ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว เผยแผ่มาจนเป็นชาวพุทธ จนเป็นศาสนาประจำชาติ สิ่งที่ศาสนาประจำชาติ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ถึงว่าเป็นความร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขถ้าเป็นธรรม

ถ้าเราตั้งบริษัทของเราขึ้นมา ผู้ที่เป็นพ่อค้าคนกลาง คนดีก็มี เห็นไหม ผู้ที่เรียนปริยัติแล้วศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไม่คดโกงไง ไม่คดโกงก็เป็นพ่อค้าคนกลางด้วยเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ผู้ที่มีคุณธรรมไม่โกงกับตัวเองแล้วก็ไม่โกงกับชาวนาต่างๆ เวลาเผยแผ่ธรรม สิ่งที่ว่าเป็นก็ว่าเป็น สิ่งที่ว่าไม่เป็นก็ว่าไม่เป็น เพราะไม่เป็น นี้คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผยแผ่ธรรมไปตามความเห็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เอากิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราเข้าไปบิดเบือน

ถ้าบิดเบือน เห็นไหม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มักน้อย สอนให้สันโดษ ชีวิตนี้เปรียบเหมือนกับล้อเกวียน ใช้ปัจจัย ๔ ในศาสนานี้เหมือนกับหยอดล้อเกวียนเท่านั้น เพื่อต้องการให้ชีวิตนี้ดำรงต่อไป เพื่อในการชำระกิเลส

แต่ถ้าเราโกงนะ เราจะใช้ปัจจัยในศาสนานี้บำเรอบำรุงกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา ในเมื่อบำเรอกิเลสตัณหาในใจของเรา เห็นไหม มันเป็นพ่อค้าคนกลางที่ทุจริต มันเป็นพ่อค้าคนกลางเพราะศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็บิดเบือน เอาแต่มัก... เอาแต่ความเห็นของตัว เอาแต่ผลประโยชน์ของตัวไง นี่มันโกงบริษัทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันโกงบริษัทนะ พุทธบริษัทนี่โดนคดโดนโกงโดยบริษัท ๔...บริษัท ๔ นี้เกิดในบริษัท ในพุทธบริษัท แล้วก็โกง แล้วก็ฉ้อฉลธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นผลประโยชน์ของตัวไง

แต่ถ้าผู้ที่ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นคนดีนะ จะศึกษาธรรมแล้ววางไว้เป็นธรรมทายาท ให้ศึกษาธรรม ให้จดจารึก ให้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับเราเป็นชาวพุทธไง

ถ้าเรามีลูกมีหลาน เราอยากให้ลูกหลานของเราบวชให้เป็นธรรมทายาท ให้เป็นญาติกับศาสนา ทุกคนอยากเป็นญาติกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาลูกเราออกบวช จรรโลงศาสนากี่วันก็แล้วแต่ กี่เดือนก็แล้วแต่ สิ่งนี้คือเอาลูกของเราไปสืบทอดอายุของศาสนา

ผู้ที่สืบทอดอายุของศาสนา จน ๒,๕๐๐ กว่าปีมานี้ ภิกษุไม่เคยขาดจากศาสนาพุทธ ถ้าภิกษุขาดจากศาสนาพุทธจะบวชเรียนไม่ได้ เพราะเหมือนกับมารดา เราจะเกิดจากครรภ์ของมารดา ภิกษุจะเกิดท่ามกลางสงฆ์ สงฆ์ต้อง ๕ องค์ ๑๐ องค์ขึ้นไปถึงจะเป็นสงฆ์ เหมือนกับคลอดออกมาจากครรภ์ ฉะนั้น ภิกษุที่บวชกันอยู่นี้ สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วเราเอาลูกเอาหลานมาบวชในศาสนา สืบต่อศาสนา นี้เป็นบุญกุศลกับเรา นี้คือธรรมทายาท

“ธรรมทายาท” การสะสมมา ผู้ที่ไม่คดไม่โกงในศาสนาจะเป็นประโยชน์มาอย่างนี้

แต่ถ้าผู้คดผู้โกง ก็จะทำลาย แล้วบิดเบือนมา จนถึงกึ่งกลางพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก กึ่งกลางพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองอีกหนหนึ่ง จนพระจอมเกล้าฯ ออกบวช ออกบวชเหมือนกัน เพราะเป็นชาวพุทธ อยากเป็นญาติกับศาสนา ออกบวชแล้วพยายามประพฤติปฏิบัติเพราะเป็นกษัตริย์ อยากประพฤติปฏิบัติโดยเอาเนื้อหาสาระไง แต่พอเนื้อหาสาระ ศึกษาไป ประพฤติปฏิบัติไป

พุทธบริษัท ทำไมวิชาการ การทำนามันไม่เหมือนกับบริษัท ไม่เหมือนกับในตำรา ในข้อกติกาของพุทธบริษัทล่ะ นี่ศึกษาไปมันก็ยิ่งงง มันก็ยิ่งสงสัย จนต้องมาค้นคว้า ต้องมาเรียนบาลี แล้วต้องมาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง กระชับสิ่งนี้เข้าไป กระชับสิ่งที่เปิดช่องทางให้กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

ปริยัติต้องมีปฏิบัติ ในเมื่อปฏิบัติ ในการปฏิบัติสิ่งต่างๆ ที่วิชาการหลักการไม่ตรง เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับอาฬารดาบส ไปเรียนกับลัทธิต่างๆ เจ้าชายสิทธัตถะศึกษามาแล้วเจ้าชายสิทธัตถะนี้เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ ถึงไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมฟังสิ่งที่ว่าเขาพาออกนอกลู่นอกทาง จนประพฤติปฏิบัติของเจ้าชายสิทธัตถะเอง จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จนประกาศตนว่าเป็นศาสดา

พระจอมเกล้าฯ ก็เหมือนกัน ออกประพฤติปฏิบัติ ออกธุดงควัตรเหมือนกัน แต่ในเมื่อบุญญาธิการขนาดนั้น ประพฤติปฏิบัติถึงไม่ถึงที่สุดก็พยายามเทียบเคียงเข้าไปกับธรรมวินัย ในเมื่อธรรมวินัยนี่เปิดช่อง เปิดช่องนะ

ดูในการประพฤติ ในการทำนาเราสิ ถ้าเราทำนาของเรานะ เรามีเมล็ดพันธุ์พืช เราหว่านพืชลงไป แล้วมันมีอากาศ มีน้ำ มีสิ่งใดสมดุลแล้วเมล็ดพันธุ์ต้องเกิดขึ้นมา แต่นี้ก็พยายามจะทำนา พยายามแบบเจ้าชายสิทธัตถะที่พยายามศึกษาค้นคว้า ค้นคว้าขนาดไหน ถึงพยายามเทียบเคียงกับวิชาการ ว่าสิ่งนี้ทำแล้วเป็นประโยชน์อย่างไร ธุดงค์ขนาดไหน นี่เทียบเคียงกลับมา

ถึงที่สุดแล้ว มีการส่งเสริมกัน จนมีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตาม ประพฤติปฏิบัติตามเพื่อการทำนา จะตั้งบริษัทของเราขึ้นมาให้ได้ ถ้าตั้งบริษัทของเราขึ้นมาให้ได้ บริษัทของเราอยู่ในพุทธบริษัท แต่ต้องเป็นผู้ที่ค้นคว้าแล้วทำนาให้ได้ ถ้าทำนาไม่ได้ มันก็ไปเอาข้าว เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วก็คดโกง ถ้าเป็นทุจริต

ถ้าเป็นสัมมา เป็นความถูกต้อง เป็นสุภาพบุรุษ พระจอมเกล้าฯ ถึงพยายามค้นคว้า แต่ถึงที่สุด ด้วยอำนาจวาสนา ผู้ที่เป็นแนวทางออกธุดงควัตรไว้ ออกเที่ยววิเวก ออกหาไง ออกหาพื้นที่ทำนา ออกค้นคว้าในสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่ด้วยอำนาจวาสนา ท่านก็ต้องสึกของท่านไป ไปครองราชย์เป็นพระจอมเกล้าฯ แต่เวลาศาสนาก็มีบริษัทเกิดขึ้นมา บริษัทเกิดขึ้นมา พยายามค้นคว้า พยายามทำของเราขึ้นมา เพื่อจะให้กติกาไม่ไปคดไม่ไปโกงพุทธบริษัท พยายามจะส่งเสริม

เวลามันแห้งแล้งนะ บริษัทของเราเวลามันขาดทุน เวลาสิ่งที่ว่ามีแต่หนี้ มีแต่สิ่งต่างๆ เราจะเร่าร้อน เราจะมีความวิตกกังวล แต่ถ้าบริษัทของเรามีกำไร มีสิ่งที่ว่าเป็นต้นทุนของเราขึ้นมา เราจะมีความสุขมาก

หลวงปู่มั่นออกบวชไง หลวงปู่เสาร์ออกบวชแล้วค้นคว้าอยู่ เห็นไหม บริษัท ค้นคว้าไปในบริษัท ค้นคว้าเข้าไปดูทางวิชาการว่าจะออกประพฤติปฏิบัติอย่างไร จะทำอย่างไร จะทำนาอย่างไร จะหาข้าวออกมาอย่างไร เพื่อจะให้หัวใจได้ดื่มกินธรรมไง นี่ค้นคว้ากับเจ้าลัทธิต่างๆ นะ ในที่ไหนมีครูมีอาจารย์จะไปค้นคว้ากับเขาทั้งหมด เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ออกประพฤติปฏิบัติก่อน แล้วพยายามมาดึงฝึกสอนหลวงปู่มั่น นี่ทำความสงบได้ ทำความสงบของใจเข้ามา แล้วเห็นนิมิต เห็นความเป็นไป

สิ่งที่เห็นเป็นนิมิต สิ่งเป็นนิมิต ว่าสิ่งนั้นเป็นความผิด สิ่งที่เป็นนิมิตนี้ สิ่งนี้เป็นการก้าวเดิน ถ้ามันเป็นนิมิต มันเป็นสิ่งที่ให้เห็นความเป็นไปของจิต จิตนี้เห็นออกไปเป็นสิ่งที่รับรู้ออกไป เป็นเรื่องต่างๆ อันนั้นมันส่งออก ดึงกลับๆ จนถึงที่สุดมันมีความอาลัยอาวรณ์ จนหลวงปู่มั่นถึงกับต้องมาเพราะหลวงปู่มั่นไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่มั่นปรารถนาพุทธภูมิ แต่ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ มันจะเข้าวิปัสสนาไม่ได้ มันจะเป็นพุทธภูมิเพราะจะเป็นการสร้างบารมีไปในชีวิตหนึ่ง แล้วสร้างสมไปข้างหน้าไง แต่ถึงที่สุดแล้วเป็นพระอรหันต์ก็สิ้นกิเลสเหมือนกัน เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สิ้นกิเลสเหมือนกัน ต่างกันด้วยบุญบารมีธรรม ถึงที่สุดแล้วถึงสละไง สละแล้วย้อนกลับเข้ามาวิปัสสนา

พอวิปัสสนาก็เป็นนิมิตเหมือนกัน นิมิตอันหนึ่ง นิมิตออกไปเห็นสิ่งต่างๆ เห็นความเป็นไปนะ เห็นเป็นนิมิต เห็นความเป็นภาพ เห็นเป็นนรกสวรรค์ต่างๆ แต่พอสละแล้ว มันก็เกิดเป็นเห็นกาย ถ้าสิ่งที่เห็นกาย วิปัสสนากายเข้าไป นี่การทำนาไง เห็นวิปัสสนาเห็นกาย วิปัสสนากาย ถ้าวิปัสสนากาย ย้อนกลับเข้ามาไง

เหมือนร่างกายของเรา ร่างกายของเรานี่ในกระเพาะอาหารมีอาหารไหม ในกระเพาะปัสสาวะมีปัสสาวะไหม ในร่างกายของเรา เราว่าของเราดี เราเคลื่อนไหว เรานอน เรากิน เราขยับเขยื้อนไปตลอด มันมีปัสสาวะ มีอุจจาระอยู่ในตัวเรานี่ สิ่งที่เป็นอุจจาระ ปัสสาวะในตัวเรา มันน่ารังเกียจ ทำไมมันอยู่ในตัวเราล่ะ แล้วเราไปอยู่ที่ไหน จะกิน จะนอน จะนอนสูงส่งขนาดไหน เราก็มีอุจจาระ ปัสสาวะเป็นตัวเรานี่นอนด้วย

จิตก็เหมือนกัน ในเมื่อวิปัสสนากายไง สิ่งที่ทำนาเป็น ทำนาอย่างนี้ไง ถ้าวิปัสสนาไป นา เราต้องทำให้ความสงบของใจเข้ามา ยกให้เห็นกาย ถ้าเห็นกาย เห็นไหม หมั่นคราดหมั่นไถในกายนั้น ถ้าหมั่นคราดเพราะเรื่องของใจ อวิชชาคือขี้ สิ่งที่เป็นขี้ อวิชชาความเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยู่ในใจนั้น อยู่ในใจนั้น การวิเวก การค้นคว้า การทำลายกัน สิ่งนี้มันทำลายได้ไง

หลวงปู่มั่นออกค้นคว้านะ ออกประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่มั่นออกทำนานะ หลวงปู่มั่นทำนา ค้นคว้า เพราะหลวงปู่มั่นสร้างสมบุญญาธิการมามหาศาล หลวงปู่มั่นถึงวิปัสสนาเข้ามา จนทำลาย เอาขี้ออกจากใจได้ ร่างกายมีขี้อยู่ แต่เราต้องอาศัยไป เพราะเราต้องกินอาหาร ร่างกายนี้สืบต่อด้วยอาหาร อาหารพอมันย่อยสลาย มันก็เป็นของเสียอยู่ในร่างกาย ประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีหลักเกณฑ์นะ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่วิปัสสนาเห็นกาย แล้วถ้าเราวิปัสสนาแล้วเราไม่เข้าใจตามนั้น กิเลสมันเที่ยวครอบงำนะ

แต่หลวงปู่มั่นท่านมีบุญญาธิการ สิ่งใดแม้แต่สิ่งที่ส่งออก ออกไปเห็นสิ่งต่างๆ ท่านก็ดึงกลับมา สิ่งที่เป็นสิ่งที่กีดขวาง นี่อำนาจวาสนา ความดีไง ความดีที่สืบต่อไปข้างหน้า เห็นไหม จุตูปปาตญาณ จิตนี้ต้องเกิดไปข้างหน้า เพราะบุญญาธิการนี้พาเกิด

ในเมื่อสร้างสมบุญญาธิการมา จุตูปปาตญาณจะเกิดต่อไปข้างหน้าๆ จนถึงที่สุดถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดก็แล้วแต่พยากรณ์แล้วจะไม่เป็นอิสระกับตัวเอง จะกลับอีกไม่ได้

แต่นี้เพราะยังไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดพยากรณ์ว่าหลวงปู่มั่นจะต้องเกิดต้องเป็นพระพุทธเจ้า หลวงปู่มั่นถึงย้อนกลับมา สละสิ่งนี้ออกมา แล้วค้นคว้าสิ่งนี้ ค้นคว้าเข้ามาเพราะบุญญาธิการอย่างนี้มีวิชาการอย่างนี้ นี่ไม่คดไม่โกงพุทธบริษัท ไม่คดไม่โกงบริษัทของพ่อแม่เรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพ่อใหญ่ เราเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นพุทธบริษัท เป็นโอรส เป็นศากยบุตร เราเป็นศากยบุตร เราจะไม่โกงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเราโกงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะทำลาย มันจะเป็นอลัชชีทำลายในศาสนา ทำลายศาสนาเพราะมันค้นคว้าเองก็ไม่เป็น หากินเองก็ไม่ได้ แล้วก็บิดเบือนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

ธรรมและวินัยนี้เป็นเนื้อนา เป็นสิ่งที่เป็นหัวใจ เป็นหลักเกณฑ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัย หลวงตาบอกว่า “เป็นเนื้อหนังขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แล้วมันทำลายพุทธบริษัทของมันเอง แต่หลวงปู่มั่นท่านไม่ทำ หลวงปู่มั่นท่านพยายามค้นคว้าออกมา

เกิดในพุทธบริษัท เพราะบวชในศาสนาพุทธ เป็นพุทธบริษัท เป็นสาวก เป็นบริษัท ๔ แล้วก็พยายามค้นคว้าออกมา วิปัสสนาเข้ามา ย้อนกลับเข้ามาวิปัสสนาที่กายนี้ ชำระขี้ออกจากใจได้ นี่ข้อมูลจากใจ มันเป็นอวิชชา ทำลายวิปัสสนากาย จิตสงบเข้ามาแล้วย้อนกลับเข้าไป นี่การทำนา พอทำนา มันก็ได้ดื่มกินไง

เราหิวอาหาร เราหิวมาก แล้วเราหุงข้าวนะ ข้าวนี่สุกใหม่ๆ นะ กลิ่นหอมมากแล้วเราได้กินข้าวอาหารนั้น เราจะมีความสุขไหม จิต หัวใจที่มีกิเลสตัณหา มันมีความทุกข์เร่าร้อนในหัวใจมาก ในหัวใจมันจะมีความทุกข์มาก จะมีร่ำรวยแสนสุขขนาดไหน สิ่งนี้มันจะเผาลนใจตลอดไป สิ่งนี้คือกิเลสนะ

สิ่งที่ร่ำรวยมหาศาลมันไม่ได้เผาหรอก เงินทอง ข้าวของเงินทองมี แล้วแต่อำนาจวาสนา คนเกิดมามีวาสนาจะมั่งมีศรีสุขตามแต่เพราะบุญกุศลสร้างมาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นในจุตูปปาตญาณ

จุตูปปาตญาณคือจิตที่มันสร้างสมบุญญาธิการมา มันเกิดในสถานะของมัน สถานะที่ว่ามีบุญกุศลมันก็สร้างของมันขึ้นมา สิ่งนี้สร้าง แก้วแหวนเงินทองเกิดจากอย่างนี้ เกิดจากอำนาจวาสนา สิ่งนี้มันเกิดโดยธรรมชาติของมัน แต่หัวใจมันเร่าร้อน หัวใจมันทุกข์ ทุกข์เพราะอะไรเพราะสิ่งนี้มันช่วยเหลือเราไม่ได้ สิ่งนี้มันทำให้เราไม่แก่ไม่ได้ สิ่งนี้มันทำให้เราไม่เจ็บไม่ได้ สิ่งนี้มันทำให้เราไม่พลัดพรากจากมันไม่ได้ ยิ่งมีมากจะพลัดพรากจากมัน ยิ่งอาลัยอาวรณ์มาก ยิ่งเป็นห่วงมาก ยิ่งเป็นทุกข์มาก จนเกิดเป็นสัตว์มาเฝ้ามันนะ จนเกิดเป็นปู่โสมต้องมาเฝ้าทรัพย์ของตัวเองนะ สร้างสมไว้ แล้วก็ทำให้จิตนี้เกี่ยวพันกับมัน แล้วก็เกิดมา นี่จุตูปปาตญาณ

สิ่งนี้มันไม่ได้ให้ทุกข์กับเรา สิ่งที่ให้ทุกข์กับเราคือเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากเกิดที่ไหน? เกิดที่ใจ นี่การทำนาอย่างนี้ไง ถ้าทำนาอย่างนี้ มันจะได้ข้าวแล้วมันจะได้หุง หุงให้มันสุกนะ ถ้าข้าวนี่สุก กลิ่นของข้าวใหม่ มันจะหอมชวนดมขนาดไหน นี่ผู้ที่ทำนาเป็น ผู้ที่หุงข้าวเป็น ผู้ที่มีความสุขในหัวใจ อย่างนี้ต่างหากมันถึงทำให้พุทธบริษัทนี้เข้มแข็ง พุทธบริษัทเข้มแข็งขึ้นมาจากบริษัท ๔

บริษัท ๔ ไม่มาคดมาโกงพุทธบริษัทของเราเอง ถ้าเรามาโกงพุทธบริษัทของเราเอง บริษัทของเราจะต้องเริ่มคลอนแคลน จะต้องชำรุดทรุดโทรมไป เพราะสิ่งที่เราเข้าไปทำลายบริษัทของเราเอง

เราเกิดท่ามกลางพุทธบริษัท เราเกิดท่ามกลางพุทธศาสนา เราเกิดมาเพราะเรามีบุญกุศล เราสร้างบุญกุศลขึ้นมา เกิดมา เห็นไหม การฟังธรรม ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เราจะฟังจากอะไร ถ้าเราเกิดมาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง

เราเกิดท่ามกลางพุทธศาสนา เราเป็นคนที่มีบุญกุศลมาก ถึงกึ่ง...เป็นกาลเป็นเวลา ธรรมเกิดเป็นกาลเป็นเวลานะ แล้วเราเกิดพบพระพุทธศาสนาเป็นกาลเป็นเวลา แล้วเราจะมาคดมาโกงศาสนาของเราเองเหรอ เราจะมาคดมาโกงบริษัทของเราเองเหรอ เราจะทำลายบริษัทของเราเองให้ล่มจมไปหรือ หรือเราจะส่งเสริม

นี่ถ้าเรามองทางธรรม เราเป็นลูกศิษย์ของตถาคต เราเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ ตั้งแต่หลวงปู่มั่นเป็นผู้บุกเบิกมา พระจอมเกล้าฯ เป็นผู้ที่ค้นคว้า ผู้ที่วางหลักเกณฑ์ วางหลักเกณฑ์ให้เป็นวิชาการ เป็นอาวุธไง สิ่งที่เป็นอาวุธ เป็นคราด เป็นไถ หลวงปู่มั่นแบกคราด แบกไถ ออกมาไถ ไถหัวใจของตัว จนหัวใจของตัวมันเกิดเป็นข้าว เป็นสิ่งที่เป็นธรรมขึ้นมาในหัวใจ มันหอมหวนอยู่ในใจของหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ของครูบาอาจารย์ของเรา สิ่งนี้เชิดชูศาสนาให้ความร่มเย็นเป็นสุข ให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับบริษัท ๔ เพราะเป็นผู้ค้นคว้าไง นี่บริษัทพระป่าไง

พระป่าค้นคว้ามาจากใจของตัว ค้นคว้ามาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเมื่อกึ่งพุทธกาล ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว บริษัทมีอยู่แล้ว แต่มันคดมันโกง มันบิด มันเบือน จนบริษัทนี้แทบจะล่มสลายนะ พระจอมเกล้าฯ เป็นผู้ที่มาฟื้นฟูบริษัทต่างหากล่ะ พระจอมเกล้าฯ เป็นผู้ฟื้นฟูบริษัท ทำกติกาไม่ให้มันเอาข้อมูลภายในออกไปคดไปโกงคนอื่นไง ข้อมูลภายในคือบาลีธรรม ออกไปคดโกง ไปเที่ยวหาเหยื่อ ไปเที่ยวทำประโยชน์ของมันนะ

แต่ถ้าเป็นพระจอมเกล้าฯ ไม่ต้องการสิ่งนั้น ต้องการความเป็นผุดผ่องของศาสนา ถึงจะเข้าถึงไม่ถึงก็ต้องการเป็นความผุดผ่องของศาสนา ให้บริษัทมันมั่นคงขึ้นมาด้วยกฎกติกาก่อน แล้วหลวงปู่มั่นมาค้นคว้าขึ้นมาจนเป็นธรรมขององค์หลวงปู่มั่น เป็นธรรมของหลวงปู่เสาร์ เป็นธรรมของครูบาอาจารย์ของเราแล้ววางรากฐานออกมาขึ้นมา รากฐานคือการประพฤติปฏิบัติ นี่บริษัทมันต้องมีผู้ที่การกระทำของมันขึ้นมาในการกระทำนั้น

ถ้าในการกระทำนั้น ถึงบอกว่า พระป่าถึงเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ กิจของสงฆ์ งานของสงฆ์คืองานที่อุปัชฌาย์ให้มาตั้งแต่วันบวชไง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ สิ่งนี้คือกายของเรา แล้วมันก็มีปัสสาวะ มีอุจจาระอยู่ในกายของเรา สิ่งนี้มันต้องพาขับเคลื่อนไป สิ่งที่ขับเคลื่อนไป เราจะเอาสิ่งนี้ทั้งหมดมาเป็นเรา

แล้วเราก็เราว่าเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้หมดแล้ว ทุกอย่างเข้าใจหมด สิ่งนี้เป็นอนัตตา สิ่งนี้ความเป็นไป สิ่งที่เราเป็นไป เราโดนกิเลสมันหลอก สิ่งที่โดนกิเลสมันหลอก เราก็เลยตั้งตนขึ้นมา เห็นไหม เราตั้งบริษัทซ้อนขึ้นมาในพุทธบริษัท ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมของเรา มันไม่เป็นธรรมจริงเลย มันไม่เป็นข้าวสุกใหม่ๆ ที่หอมแล้วมีกลิ่นหอม หอมฟุ้งออกมาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเป็นธรรมอย่างนั้น เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ใครเป็นคนเห็นมัน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ใครก็เห็น ใครก็ท่องได้ เห็นไหม ท่องได้แบบนกแก้วนกขุนทองแล้วมันก็ไม่เข้าใจ นกแก้วนกขุนทอง สิ่งนี้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนพ่อค้าคนกลางที่ไปคดโกงคนอื่น คดโกงบริษัท ๔ คดโกงขึ้นมาเป็นลาภสักการะ คดโกงตัวเองคือทำลายโอกาสของตัวไง คดโกงตัวเองคือว่าสิ่งนี้เราก็รู้ นี่กิเลสมันพารู้ กิเลสว่าสิ่งนี้ก็เรารู้ สิ่งนั้นก็เรารู้ รู้แล้วแก้กิเลสได้ไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการให้รู้แล้วแก้กิเลส ให้เห็นตามความเป็นจริงเป็นปัจจัตตัง ให้เห็นตามความเป็นจริงเป็นอาสวักขยญาณที่มันทำลายกิเลส สิ่งที่ทำลายกิเลสจะหามาจากไหน

พาลคราดไถที่พระจอมเกล้าพยายามค้นคว้ามาด้วยทฤษฎี ด้วยภาคปริยัติ องค์หลวงปู่มั่นเอาสิ่งนี้มาค้นคว้ากับเรา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นศากยบุตร เราเป็นสมาชิกในพุทธบริษัทองค์หนึ่ง เราต้องค้นคว้ากลับมาที่ใจของเรา ถ้าเราค้นคว้ากลับมาที่ใจของเรา เราจะเห็นความเป็นไปของมัน เริ่มตั้งแต่หาคราดหาไถให้ได้ก่อน หาคราดหาไถคือทำความสงบ เห็นจิตที่มันส่งออกไป ที่มันไปรับรู้ สิ่งที่ส่งออก ถ้ามันซื่อสัตย์ มันมีศีล ถ้ามันเป็นไม่ซื่อสัตย์ มันมีทุศีล สิ่งที่ทุศีล มันก็สร้างภาพ ทำสงบเสงี่ยม ทำความเจียมตัวว่าสิ่งนี้เป็นธรรม นี่มีความสงบเสงี่ยม

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมีแต่กระโชกโฮกฮาก มีแต่ความรุนแรง ความรุนแรงอย่างนั้นมันซื่อสัตย์กับตัวน่ะ มันซื่อสัตย์กับบุคคล มันซื่อสัตย์กับความเป็นไปของจิต มันซื่อตรงกับตัวเอง มันไม่ยอมคดโกง ไม่ยอมสงบเสงี่ยมโดยเอากิเลสออกหน้าไง ถ้ามันสงบเสงี่ยมโดยเอากิเลสออกหน้า เห็นไหม มันโกงตาชั่ง มันโกงราคาพืชผล มันโกงทุกอย่างของบริษัทของมัน เพราะมันต้องการเอาลาภสักการะเพื่อตัวมัน

ผู้ที่แสดงออกตามความเป็นจริง ตาชั่งเราก็ตรง ราคาพืชผลก็แล้วแต่อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งนี้เราพยายามจะพิสูจน์มัน ถ้านิโรธะเกิดจากมรรค ๘ เห็นไหม อริยสัจ ๔ เกิดจากมรรค ๘ ถ้ามรรคมันเกิดขึ้นจากใจของเรา นี่ถ้าเราไม่คดโกง เราจะมีการตรวจสอบ มีการเทียบเคียงกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาเราเทียบเคียงกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทียบเคียงเข้าไปในพระไตรปิฎก “มรรค ๔ ผล ๔” ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะต้องมีหลักเกณฑ์ของใจ จะต้องหมั่นหาคราดหาไถ ถ้าหาคราดหาไถ นี่สติ สมาธิ ถ้ามีสติควบคุมการประพฤติปฏิบัติเข้ามา นี่ทรมานตน เราต้องทรมานตนเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยากใหญ่ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันต้องการสถานะของมัน มันต้องการปกครอง มันต้องการยึดอำนาจ มันต้องการอยู่บนอำนาจสูงสุด นี่มันทำลายตัวมันเอง แล้วมันก็ทำลายพุทธบริษัท มันทำลายบริษัทของมัน มันทำลายเพื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่มันเป็นความคิดนะ นี่ยังไม่เป็นการกระทำ

ถ้าเป็นการกระทำ สังคมจะเดือดร้อนมาก ถ้ามันยังไม่เป็นการกระทำ เราจะเอาอะไรเข้าไปยับยั้งมัน เราจะต้องเอาสติปัญญาเข้าไปยับยั้งมัน สิ่งที่ยับยั้งมัน เห็นไหม หาคราดหาไถ นี่แค่หาคราดหาไถนะ ถ้ามีคราดมีไถแล้วเราไถเข้าไปที่จิตของเรา เราไถเข้าไปที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เราจะเป็นบริษัทหนึ่งที่เราจะสร้างสมให้พุทธบริษัทนี้เจริญงอกงาม งอกงามขึ้นมาจากการกระทำของเรา เราไถ เราฆ่ากิเลสในหัวใจของเรา เราคราด เราไถ เราวิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม

ถ้าเราคราดเราไถในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมของเราขึ้นมา เห็นไหม ชำระสะสางขึ้นมา นี่ชำระสะสางกิเลส ถ้ากิเลสมันตายไป มันยุบยอบไป เราเริ่มมีพื้นที่ทำงาน เราเริ่มมีพื้นที่ทำนา จากป่ารกชัฏ เราพยายามทำลายปรับพื้นที่ เราต้องโค่นสิ่งที่เป็นวัชพืชออก ถ้ามีหญ้าคา เราต้องไถหญ้าคา แล้วเราต้องยกแปลง ยกเป็นแปลง ยกเป็นแปลงขึ้นมาเพื่อจะทำนา เรายกขึ้นมาเป็นคันนา ยกขึ้นมาเพื่อจะกักน้ำ ถ้าสิ่งที่เรากักน้ำขึ้นมาได้ สิ่งที่กักน้ำขึ้นมาได้ นี่ดินเริ่มมีน้ำเข้าไป มันจะอ่อนตัวลง เราจะคราดได้ไถได้

เรามีสติ เรามีปัญญา มีคราดมีไถ แต่เราจะไถลงไปที่ไหน ถ้าเราไถลงที่ไหน จิตมันสงบขึ้นมา มันจะยกขึ้นไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันวิปัสสนาของมันไป วิปัสสนาไปโดยไม่ให้กิเลสหลอกนะ ถ้าวิปัสสนาไปโดยกิเลสหลอก มันจะสร้างภาพ สิ่งที่เราเห็นนี้มันจะ...

ถ้าคดโกง บริษัท ๔ คดโกงสังคม คดโกงด้วยความเห็นของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อ้างแต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสียสละ ให้สละทาน สละเข้ามาในความยึดมั่นถือมั่นของตัว ตัวจะเอาแต่ความเสียสละของเขามาเป็นอำนาจของตัว อำนาจการปกครองเขา นั้นคือการคดโกง คดโกงสังคม แต่ถ้าเราคดโกงตัวเอง ถ้าวิปัสสนาไป นี่มันคดโกงตัวเองนะ

กิเลสตัณหาความทะยานอยากน่าขยะแขยง น่าเห็นโทษของมัน ถ้าเราทำงานของเราไม่เป็น เราไม่สามารถจรรโลงบริษัทของเรา แล้วเราจะไปคดโกงคนอื่น แต่ถ้าเราทำงานของเราเป็น เวลาวิปัสสนาไป วิปัสสนาในแง่มุมใด ถ้ามันวิปัสสนาไป มันจะเกิดสมาธิอย่างไร สมาธินี้เป็นสัมมาสมาธิไหม ถ้าไม่เป็นสัมมาสมาธิ เวลามันยกขึ้นวิปัสสนา มันจะไม่มีสติ ถ้ามีสติ มันจะเป็นสัมมาสมาธิ

สิ่งที่เป็นสติ ถ้าขาดสติ การกระทำนั้นเป็นสักแต่ว่า สิ่งที่สักแต่ว่า มันสักแต่ว่าทำ พอสักแต่ว่า ผลก็เป็นสักแต่ว่า เราทำอะไรโดยที่ไม่หวังผล เราจะไม่ได้ผล ถ้าเราทำในสิ่งที่หวังผล เขาว่าหวังผลเป็นตัณหา เป็นกิเลส...ไม่ใช่ หวังผล เราหวังไว้แล้วเราวางไว้ แล้วเราสร้างเหตุของเราขึ้นมา สร้างขึ้นมาให้มันเป็นผลขึ้นมา สิ่งที่หวังผล ผลอันนั้นจะเกิดขึ้นมาจากจิตที่มันตั้งมั่น จิตที่เป็นสัมมาสมาธิขึ้นเป็นพื้นฐานมาเรื่อยๆ เราหวังผลสิ่งนี้ ผลสิ่งนี้เราควบคุมผลสิ่งนี้ แล้วเอาผลนี้ออกไปวิปัสสนา วิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม

สิ่งที่ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ด้วยมรรค ๘ มรรค ๘ นะ งานชอบ เพียรชอบ สติชอบ ความระลึกชอบ สิ่งที่ชอบ ความเพียรชอบอย่างไร ความเพียรชอบมันสมดุลกับจริต กับนิสัยของบริษัท ๔ จริตนิสัยของบริษัท ๔ ความหยาบ ความละเอียดอ่อนของกิเลสตัณหาแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน การวิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมก็ไม่เหมือนกัน ไม่มีหลักเกณฑ์ว่าทุกคนต้องพิจารณากายทั้งหมด หรือใครต้องพิจารณาเวทนาทั้งหมด หรือพิจารณาจิตทั้งหมด แล้วแต่โอกาส

แม้แต่ในวิปัสสนาหนเดียว เช่นเรายกแปลงคันนา เวลานาขึ้นมา เราจะไถคราด เราจะไถแปร เราจะไถอย่างไรก่อนก็ได้ เราจะทำนาหว่าน จะทำนาดำ จะทำอย่างไรก็ได้ แล้วแต่ว่าโอกาสไง โอกาสที่ว่าน้ำมาก น้ำน้อย คราวน้ำมาก สมาธิดี เราก็พิจารณากาย ในสมาธิคราวนี้น้ำน้อย สมาธิไม่ค่อยแน่นหนา เราก็พิจารณาจิตกับใช้วิปัสสนาใช้ปัญญาไป ในผืนนานี้เราก็ทำได้แล้วแต่ฤดูกาล ในการวิปัสสนานี้ เวลาวิปัสสนาไป จิตมันลงตัวขนาดไหน สิ่งใดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ในปัจจุบันนั้นนะ เราพิจารณากายก็ได้ พิจารณาความคิดก็ได้ พิจารณาเวทนาก็ได้ เป็นครั้งเป็นคราวที่มันเกิดเฉพาะหน้า ที่มันเกิดเฉพาะหน้าที่ว่าขณะที่จิตมันมีความสงบขนาดไหน มันมีพื้นฐานขนาดไหน เราวิปัสสนาไปอย่างนั้นไป

สิ่งนี้เราทำไป แม้แต่ในโสดาปัตติมรรคนี้ ไม่ต้องขนาดว่ายกขึ้นไปสูงมากนักหรอก ในโสดาปัตติมรรค เราวิปัสสนาไป มันก็วิปัสสนากายก็ได้ เวทนาก็ได้ จิตก็ได้ ธรรมก็ได้ แล้วแต่โอกาสที่มันจะเกิดขึ้น ในครั้งเดียวกันนะ แล้วถ้าเกิดมันเป็นจริต เป็นนิสัย เป็นความชำนาญของตัว คนวิปัสสนากายมันมีความคล่องตัว เวลาเขาทำจิตสงบเข้ามาเหมือนน้ำมาก พอน้ำมากขึ้นมา เราไถของเรา เราคราดของเรา เราปักนาดำ เพราะนาดำมันให้ผล รวงข้าวมันจะใหญ่ มันจะรวงข้าวมาก มันจะให้ผลมาก เราก็ทำนาดำ

ทำนาดำคือจิตมันสงบเข้ามา พอจิตมันสงบเข้ามาขนาดไหน มันมีพื้นฐานขึ้นมา เรายกวิปัสสนากาย เห็นไหม เจโตวิมุตติ เจโตวิมุตติมันมีความสุข เวลามันปล่อย มันจะลึกลับ มันจะมีความสุขมาก มันจะลึกมาก เวลาจิตมันสงบเข้ามา เพราะน้ำมันมาก มีความร่มเย็นมาก เวลาจิตสงบเข้าไปมาก มันจะดูดดื่มมาก ถ้าดูดดื่มขนาดไหน เป็นอัปปนาสมาธิ มันลึกมันไป มันวิปัสสนาไม่ได้ เหมือนกับว่าน้ำมากเกินไป

เราจะปักต้นกล้า ต้นกล้ามันก็จะลอย เราก็รอจังหวะถอนออกมา จิตมันจะถอนออกมา มันออกมาจากอัปปนาสมาธิ มันก็เป็นอุปจารสมาธิ น้ำพอสมดุล น้ำสมควร เราก็ปัก เราก็ดำนา พอดำนาขึ้นไป พออกมาอุปจารสมาธิ เราก็ยกไปที่กาย วิปัสสนากายไป วิปัสสนากายไปให้สมดุลของมัน นี่ความเพียรชอบไง ถ้าความเพียรไม่ชอบ คาด หมาย อยากให้เป็น อยากให้ความสงบของใจของตัว อยากให้เป็นไป นี่กิเลสมันเข้ามาแทรก

ถ้ากิเลสเข้ามาแทรก เรามีความผิดพลาด ความผิดพลาดนี้มันจะเป็นครู เป็นครูหมายถึงว่าเราทำแล้วมันจะไม่สมประโยชน์ของเรา ทำแล้วมันไม่ปล่อยวาง มันเป็นไปที่ว่าโดยอุปกิเลส มันชักนำให้เป็นสภาวะแบบนั้น เวลาพิจารณาไปมันก็ปล่อยวางเวิ้งว้างไปตามอำนาจของกิเลสชักนำไป กิเลสมันพาออก กิเลสมันพาชักนำไป แล้วมันก็ออกไปนอกลู่นอกทาง นี่คดโกงตัวเอง คดโกงตัวเองโดยไม่รู้ตัว โดยกิเลสมันชักนำออกไป

ถ้าสิ่งนี้ เวลาออกไปอย่างนี้ มันไม่เป็นผล เราก็เอาสิ่งความผิดพลาดนี้เป็นครู เราก็ยกกลับขึ้นมาวิปัสสนาใหม่ ยกออกมาทำความสงบใหม่ แล้วเราก็พิจารณาไป ตั้งขึ้นมา พอสมดุลแล้วปักข้าว ดำนา แล้วเราก็ดูวัชพืช เราก็ทำสิ่งต่างๆ พอเห็นกาย เราก็น้อมไปให้เป็นไตรลักษณ์ ให้เป็นความเน่า ความเหม็น ความพุพองของมัน ให้มันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟโดยสัจจะของมัน นี่เรารักษาวัชพืช เรารักษาสิ่งต่างๆ ให้สิ่งนี้มันแสดงตัวของมัน นี่มันเป็นสมดุลของมันเอง

ต้นกล้ามันจะต้องเจริญงอกงามของมันโดยสิ่งที่น้ำสมดุล มีปุ๋ย มีสิ่งต่างๆ ที่เรารักษามัน เห็นไหม วิปัสสนาไป วิปัสสนาคือกายให้มันแปรสภาพไป ให้ตามความเป็นจริงของมัน หน้าที่ของต้นกล้ามันต้องเจริญของมันไปเอง วิปัสสนาของเราให้มันเป็นสัจจะความจริงของมัน ถ้าเป็นสัจจะความจริง นี่ความเพียรชอบ

สิ่งที่เป็นความเพียรชอบงานชอบ วิปัสสนาโดยความเป็นชอบ สิ่งที่เป็นความชอบทั้งหมด สติสมดุล สมาธิสมดุล ทุกอย่างสมดุล สิ่งที่สมดุลมันจะให้ผลออกมา สิ่งที่ให้ผลออกมา นี่ทำงานอย่างนี้ เราฝึกฝนของเราไป วิปัสสนากาย วิปัสสนาจิต วิปัสสนาเวทนา วิปัสสนาธรรม นี่มันอยู่ที่ความเป็นไปของจิต เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติสิ่งต่างๆ

บริษัทของหลวงปู่มั่นนี่มีศักยภาพมาก บริษัทของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นนักวิชาการ เป็นนักค้นคว้า แล้วหาพุทธบริษัท บริษัทของหลวงปู่มั่นค้นคว้าออกมา จนออกมาเป็นผู้ที่ทำนาค้นคว้านา จนให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับศาสนา จนให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับชาติกับศาสนา สิ่งที่ชาติ ศาสนา เพราะความร่มเย็นจากใจดวงนี้ไง มันมีข้าวปลาอาหารมาหล่อเลี้ยงชาติไง มันมีข้าวปลาอาหารเลี้ยงจากใจดวงนี้

ใจดวงนี้ได้ข้าวออกมา ใจดวงนี้เห็นรวงข้าวเกิดขึ้น ใจดวงนี้ได้เก็บเกี่ยว ได้สี ได้หว่าน ได้หุงข้าว หุงอาหาร กลิ่นมันหอมฉุยเพราะมันเป็นข้าวใหม่ หอมจากใจดวงนั้นนะ ความสุขของใจที่ได้วิปัสสนามาจากใจดวงนั้น มันจะมีความสุขของมัน มันชำระกิเลสของมันเป็นสัจจะความจริงของมัน นี่เพราะอะไร เพราะไม่คดโกงตัวเองไง ไม่ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมีอำนาจเหนือใจดวงนี้ ถ้ากิเลสมีอำนาจ มีกิเลสตัณหา มีอำนาจเหนือใจดวงนี้ มันจะคดโกงแม้แต่ตัวเอง ถ้าคดโกงตัวเองก็เท่ากับคดโกงชีวิตเพราะชีวิตนี้เกิดมาแล้วต้องตาย สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วต้องตาย

เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะออกเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ท่านยังสลดสังเวช ท่านยังพยายามค้นคว้าของท่าน จนชำระการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายของเจ้าชายสิทธัตถะ จนตั้งเป็นพุทธบริษัทมา

เราเกิดมาท่ามกลางเป็นชาวพุทธ เราเป็นพุทธบริษัทนับตั้งแต่เปล่งวาจาว่าเป็นพุทธมามกะ เป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ แล้วเราได้บวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมาเพื่อจะค้นคว้า เพื่อจะพยายามทำงานของเรา แล้วเราได้เกิดมาท่ามกลางใต้ร่มธงของครูบาอาจารย์ของเรา

หลวงปู่มั่นเป็นผู้ค้นคว้าสิ่งนี้ออกมา หลวงปู่มั่นทำนาเป็นนะ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ครูบาอาจารย์เราทำนาเป็นนะ ในเมื่อทำนาเป็น นี่ภาคปฏิบัติ พระปฏิบัติคือการออกค้นคว้า เป็นประสบการณ์ตรงของจิต จิตนี้มันต้องค้นคว้า ต้องทำผืนนาของตัวขึ้นมา ต้องทำลายวัชพืช คือการฟุ้งซ่าน การส่งออกของจิต จิตมันส่งออกขนาดไหน ทำลายความฟุ้งซ่านนี้ ปรับพื้นนาให้ได้ แล้วสร้างคันนาขึ้นมาให้ได้ แล้วทำสมาธิขึ้นมาเหมือนเอาชักน้ำเข้านาให้ได้

ถ้าชักน้ำเข้านาให้ได้ หว่านพืชลงไป เมล็ดพันธุ์พืช เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เราจะปักจะดำ เห็นไหม กาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นสติปัฏฐาน ๔ เป็นที่เราจะทำงาน ถ้างานของเรา สติปัฏฐาน ๔ อริยสัจ ๔ สติปัฏฐาน ๔ ขึ้นมา ด้วยมรรค ๘ เข้ามา นี่มันจะสมดุลในหัวใจของเรา

ถ้าเราทำของเราขึ้นมาโดยความเป็นสมดุลของเรา เราฝึกฝนไง เราฝึกฝนจากภาคปริยัติ“เรียนจากจิต” เรียนจากพระไตรปิฎก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธบริษัทแล้วยังไปโกง พุทธบริษัทนั้นเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดมาในพุทธบริษัท เราเป็น ๑ ในบริษัท ๔ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องเชิดชูธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือธรรมและวินัยนี้เพื่อจะชี้นำเข้ามาที่ใจของเรา

แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราทำนาได้ เราหาข้าวได้ เรามีอาหาร มีข้าวหุงใหม่ๆ หอมหวนในหัวใจ แล้วเราจะไปตื่นเต้นกับอะไร เราเลี้ยงชีวิตเราได้นะ ถ้าเราเลี้ยงชีวิตเราได้นะ บริษัทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เจริญงอกงาม บริษัทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันประกาศตน

ประกาศว่า ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ เห็นไหม พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน แล้วมีความสงสัยว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พุทธบริษัทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าของบริษัท ผู้ที่บริหารบริษัทตายไปแล้ว บริษัท ๔ พุทธบริษัทนี่จะมีใครโกงไหม บริษัท ๔ มันจะให้ผลกับผู้ที่เป็นสมาชิกไหม เป็นผู้ที่เกิดมาเป็นพุทธบริษัทมันจะได้ผลจากบริษัทนี้ไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อานนท์ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โดยไม่คดไม่โกง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย” แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่ว่างจากพระอรหันต์ ถ้าผู้ที่ทำจริง ไม่คดโกงบริษัทของตัวเอง ไม่ให้กิเลสหลอกล่อ คดโกงตัวเอง

แม้แต่กึ่งพุทธกาลหมดไป ๕,๐๐๐ ปีหมดไป ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ถ้าผู้ที่มีบุญญาธิการตรัสรู้เอง แต่ถ้าไม่มีบุญญาธิการ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้าต่อไป เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก็จะต้องให้หาครูหาอาจารย์ หาพุทธบริษัท ต้องหาบริษัท ต้องเป็นสมาชิกบริษัท เพราะถ้าเราไม่เป็นสมาชิกบริษัท เราจะไม่มีโอกาสเลย เว้นไว้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น

แต่ถ้าเราเป็นสาวก-สาวกะ ไม่มีบริษัท ไม่มีวิชาการ เราจะไปค้นคว้าที่ไหน แม้แต่หลวงปู่มั่นปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่เวลาค้นคว้ามา ขนาดค้นคว้าขนาดไหน

๑. คือว่าการที่ปรารถนาพุทธภูมิได้กั้นไว้

๒. วิชาการอย่างนี้ บริษัทนี้มันคลอนแคลน

แม้แต่พระจอมเกล้าฯ พยายามทำข้อวัตร พยายามทำกฎหมาย ทำกติกาในบริษัทให้เข้มแข็งขึ้นมาแล้วนะ วางไว้ว่ามีคราดมีไถ มีต่างๆ ไว้ให้ค้นคว้า เห็นไหม หลวงปู่มั่นยังค้นคว้าด้วยความมุมานะ ด้วยความเป็นไป ด้วยความอุตสาหะของตัวเอง ด้วยความอุตสาหะนะ แล้วเราเกิดมา สิ่งที่ผ่อนให้เราไม่ต้องไปอัตตกิลมถานุโยค ไม่ต้องไปกามสุขัลลิกานุโยค เรามีโอกาสมากเลย

เทฺวเม ภิกฺขเว ธรรมจักรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทดสอบ ทดลองกับเจ้าลัทธิต่างๆ มาทั้งหมด นี่ทางสองส่วนนี้ไม่ควรเสพ เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสายกลางไม่ควรเสพ ทางสายกลางที่เกิดนี้แสนยาก แล้วหลวงปู่มั่นก็มาค้นคว้านะ ค้นคว้าจนเป็นทางสายกลาง ทางสายกลางในการประพฤติปฏิบัติของใจในภาคปฏิบัติของพระป่า พระปฏิบัตินะ ไม่ใช่ทางสายกลางของผู้ที่คดโกงพุทธบริษัทของตัว

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถึงวางธุดงควัตร ถึงวางพระป่า พระธุดงค์ไว้ไง พระธุดงค์นี้ต้องมีธุดงควัตร ๑๓ ธุดงควัตร ๑๓ เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เห็นไหม ตั้งแต่การอดนอน การผ่อนอาหาร การวิปัสสนา แล้วเขาบอกทำให้ทุกข์ให้ยากทำไม นี่คดโกงบริษัทของตัวนะ แล้วก็ยังต่อต้านการประพฤติปฏิบัติที่จะไปทำลายกิเลสของผู้ที่ทำนาไง

คนทำนาไม่เป็น มันจะเอาแต่การคดการโกง นี่คอยแต่จะโกงตาชั่ง โกงราคาพืชผล โกงทุกๆ อย่างที่ในพืชผลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาไว้ให้ในพระไตรปิฎก หาไว้ให้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าแล้วหาไว้ แล้วสร้างเป็นพุทธบริษัทไว้ให้กับมดปลวกมันเข้ามาตอม พวกมดพวกปลวกมันเข้ามาทำลาย แล้วมันก็ยังคดยังโกง

แต่เวลาหลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์ พระจอมเกล้าฯ มา การประพฤติปฏิบัตินี้เข้มแข็งขึ้นมา นี่ทำไมต้องทำให้มันทุกข์ให้มันยาก ทำไมต้องทำให้มันขนาดนั้น สะดวกสบายอย่างนี้มันก็เป็นธรรมอยู่แล้วไง นั้นเป็นธรรมของกิเลส ถ้าเป็นธรรมของธรรมต้องมีปฏิปทาเครื่องดำเนิน ปฏิปทาเครื่องดำเนินนี้ไม่ใช่อัตตกิลมถานุโยค ถ้าเป็นอัตตกิลมถานุโยค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่วางไว้ในพระไตรปิฎกในธรรมวินัยไง ธุดงควัตร ๑๓ อยู่ในพระไตรปิฎก ธุดงควัตร ๑๓ เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ในพุทธบริษัท

พุทธบริษัทนี้วางไว้แล้วในธรรมวินัยนี่อยู่ในพุทธบริษัท แต่เขาไม่ยอมรับกฎกติกาอย่างนี้ไง เขาพยายามขับไส เขาพยายามบิดเบือน บิดเบือนว่าสิ่งที่เป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งที่เป็นการขัดเกลากิเลส สิ่งที่เป็นเครื่องมือลงไปทำนาแล้วมันจะได้นา ได้ข้าวมาจรรโลงชีวิต ถ้าจรรโลงชีวิต ชีวิตนั้นจะมีความสุข ถ้าชีวิตนี้มีความสุข แล้วมันจะเอาสิ่งใดมาเป็นผลประโยชน์

จะว่าแก้วแหวนเงินทอง โลกธรรม ๘ สิ่งที่เป็นเครื่องสรรเสริญ สิ่งที่เป็นหัวโขน สิ่งที่เป็นหัวโขนที่มันให้แต่ผล ให้ผลกับคนที่เป็นธรรมว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องมือการทำงาน แต่มันจะให้ผลกับสิ่งที่เป็นพวกทุจริต ให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่หาผลประโยชน์นั้นจะทำลายคนอื่นไง สิ่งนี้มันเป็นทุกข์ สิ่งที่มันเป็นให้ค่ากับใจ แต่ถ้ามันเป็นคุณประโยชน์กับใจดวงนั้นนะ

แล้วถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจนมีข้าวกินเอง มีสิ่งที่หอมหวนในหัวใจ มันจะไปตื่นเต้นกับสิ่งใด แต่การปกป้อง การจรรโลงพุทธศาสนานี้มันก็เป็นหน้าที่ หน้าที่ของผู้ที่เกิดมาจากพุทธศาสนา เห็นไหม คนเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ มันจะระลึกถึงคุณของพ่อของแม่ ถ้าระลึกถึงคุณของพ่อของแม่ เห็นไหม พ่อแม่แก่เฒ่าขนาดไหน มันก็เห็นบุญเห็นคุณของพ่อแม่นะ

นี้ก็เหมือนกัน จิตที่มันเกิดมาจากข้าวหอมกรุ่นๆ นี้ เกิดมาจากพุทธศาสนา เกิดจากพุทธบริษัทนี้ แล้วมันจะต่อต้าน จะบิดเบือนพุทธศาสนา มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ สิ่งที่เป็นไปได้ ถึงเป็นหน้าที่ไง เป็นหน้าที่การปกป้อง ถ้ามีอำนาจวาสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา มันก็วางใจไว้เป็นกลาง สิ่งที่วางใจไว้เป็นกลาง

เพราะว่าอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนานะ ถ้าเรามีอำนาจ มีวาสนา แล้วเราเกิดมาเราพบพระพุทธศาสนา เราจะต้องพยายามสร้างสมบุญญาธิการของเราขึ้นมา ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราประพฤติปฏิบัติไม่ถึงที่สุด ครูบาอาจารย์เราพาออกปกป้องพุทธบริษัท “พุทธบริษัท” บริษัทนี้จะคู่บ้านคู่เมือง ถ้าเราช่วยกันปกป้อง เอวัง